วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โรงไฟฟ้า อิโซโกะ ต้นแบบพลังงานสะอาดเคียงคู่ชุมชน

ปฏิวัติพลังงานสะอาดเคียงคู่ชุมชน

ถึงเวลาปรับแนวคิดการ สร้างโรงไฟฟ้าในไทยกันเสียที…เมื่อมีโอกาสได้สัมผัสกับ “โรงไฟฟ้า อิโซโกะ” ของ บริษัท พัฒนาพลังงานไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เจพาวเวอร์ ในเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ที่แม้จะใช้โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังไอน้ำและ ไฟฟ้าร่วมที่มีขนาดเล็ก แต่สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อดูแลชาวโตเกียวและโยโกฮามา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีระบบจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพสูงจนทำให้คนในเมืองสามารถ อยู่ร่วมกับโรงไฟฟ้าได้โดยไม่มีเสียงเรียกร้องใด ๆ เกิดขึ้น

โรงไฟฟ้าอิโซโกะ มีอายุยาวนานกว่า 40 ปี โดยเริ่มผลิตไฟฟ้าครั้งแรกในปี 2510 ต่อมาได้มีการปรับปรุงโฉมใหม่จนแล้วเสร็จเมื่อปี 2552 ใช้งบลงทุนจำนวนมากถึง 25,000 ล้านเยน เพื่อปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัยเพื่อให้ได้การผลิตไฟฟ้าที่มี ประสิทธิภาพจากกำลังคนเพียงแค่ 200 คน และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการปล่อยสารไนโตรเจนออกไซด์และสารซัลเฟอร์ออกไซด์ ได้สูงสุดแห่งหนึ่งของโลก รวมทั้งยังสามารถกำจัดมลพิษได้มีประสิทธิภาพกว่า 99.94% มีระบบบำบัดน้ำเสียจากกระบวนการผลิต และยังมีการปรับระบบการส่งไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นจากเดิมด้วย

ด้วยกำลังการผลิต 1.2 ล้านเมกะวัตต์ จากการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดทั้งภายในประเทศญี่ปุ่นเองและนำเข้ามาจาก ประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าวันละ 10,000 ตัน ขณะที่ภายในโรงงานมีโรงไซโลบรรจุถ่านหินเก็บไว้ภายในอย่างมิดชิด ทำให้เมื่อเข้าไปสำรวจทั่วโรงงานจะไม่มีโอกาสได้เห็นถ่านหินแม้แต่ก้อนเดียว จึงไม่เกิดปัญหาฝุ่นละออง หรือเกิดปัญหาเสียงสั่นสะเทือนใด ๆ

“ซิคุดะ ฮิเดกิ” ผู้จัดการโรงไฟฟ้า อิโซโกะ ได้เล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่เลือกใช้ถ่านหินมาเป็นพลังงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ว่า ข้อดีของถ่านหินคือ มีต้นทุนถูกที่สุดเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานชนิดอื่นที่ สำคัญถ่านหินเป็นทรัพยากรที่มีมากและมีอยู่ทั่วโลก โดยถ่านหินใช้แล้วจะนำมารีไซเคิลเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของปูนซีเมนต์ด้วย และถ่านหินเกือบทั้งหมดจึงถูกนำมาเป็นส่วนผสมของปูนซีเมนต์ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้โรงไฟฟ้าแห่งนี้ยังไม่ถูกชุมชนออกมาต่อต้าน เพราะได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจและให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม และได้มีการร่างสนธิสัญญารักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในเมืองอย่างเข้มงวด โดยในร่างสนธิสัญญาจะมีการกำหนดไว้ชัดเจนว่าตัวเลขการปล่อยก๊าซที่เป็นพิษ ต้องน้อยที่สุดและเข้มงวดมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ประชาชนในประเทศญี่ปุ่น

ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ผ่านมาทำไม? ในญี่ปุ่นจึงไม่เคยเกิดปัญหาการต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าและไม่ใช่เพียงแค่ โรงไฟฟ้าอิโซโกะ แค่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่โรงไฟฟ้าแห่งอื่น ๆ ในญี่ปุ่น ก็เช่นกันไม่เคยมีปัญหาต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากโรงไฟฟ้าทุกแห่งต่างมีระบบจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพสูง เช่นกัน

ไม่เพียงเท่านี้ “ซิคุดะ” ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันเจพาวเวอร์ ยังอยู่ระหว่างทำการวิจัยและพัฒนาสร้างโรงงานไฟฟ้าต้นแบบที่ผลิตไฟฟ้าและไม่ มีการปล่อยก๊าซที่เป็นพิษออกสู่อากาศเลยด้วย และมีความเป็นไปได้สูงมากที่คนทั้งโลกจะมีโอกาสได้เห็นโรงไฟฟ้าดังกล่าวออก มาในอนาคต และในปี 57 ประเทศญี่ปุ่นจะมี “โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์” เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศด้วย โดย บริษัท เจพาวเวอร์ ได้เป็นผู้ลงทุนก่อสร้าง โดยการเลือกใช้พลังงานนิวเคลียร์ก็เพราะมีต้นทุนที่ถูกที่สุดซึ่งถูกกว่าการ ใช้ถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติด้วยซ้ำ จึงเชื่อได้ว่าโรงไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะกลายเป็นต้นแบบครั้งสำคัญของโรงไฟฟ้า ทั่วโลกอีกครั้ง และอาจทำให้หลายประเทศที่ชะลอแผนสร้างโรงไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ ต้องกลับมาทบทวน
อีกครั้ง

ขณะที่ “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โต้โผใหญ่ที่นำคณะสื่อมวลชนไปเยี่ยมและศึกษาดูงานที่โรงไฟฟ้าอิโซโกะในครั้ง นี้บอกว่า เพราะเป็นโรงไฟฟ้าต้นแบบที่สำคัญของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้าของไออาร์พีซีด้วย เนื่องจากมีระบบการบริการจัดการภายในที่ดี ทั้งด้านระบบการผลิตและการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงทำให้อยู่ร่วมกับชุมชนได้นานถึง 30 ปีโดยไม่มีปัญหา

ที่สำคัญโรงไฟฟ้าอิโซโกะยังถือเป็นต้นแบบสำคัญของโรงไฟฟ้าไออาร์พีซี ในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วม (CHP: Combined Heat and Power Project) ที่ใช้เงินลงทุนราว ๆ 8,000 ล้านบาท บนพื้นที่รวม 21 ไร่ ในเขตประกอบกิจการของบริษัท ที่ จ.ระยอง โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นตัวผลิตไฟฟ้า และจะสามารถเดินเครื่องการผลิตได้ในเดือน ก.ค.54 นี้ หลังจากนั้นบริษัทจะหยุดใช้โรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงระบบเดิม ทันที

บอสใหญ่ของไออาร์พีซียังระบุด้วยว่าการเปิดตัวโรงไฟฟ้าพลังไอน้ำและไฟฟ้า ร่วมนี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าได้มากขึ้น รวมถึงยังช่วยป้องกันปัญหาไฟฟ้าดับและไฟฟ้าตกที่เกิดขึ้นในบริเวณชุมชนโดย รอบ ทำให้บริษัทมีโอกาสแข่งขันได้มากขึ้นในอนาคตรวมทั้งยังจะเป็นตัวอย่างที่ดี แก่การอยู่ร่วมกันระหว่างโรงไฟฟ้ากับประชาชนในพื้นที่ด้วย

โรงไฟฟ้าพลังไอน้ำและไฟฟ้าร่วมนี้ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 220 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไอน้ำได้ 420 ตันต่อชั่วโมง รวมทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศ ที่เป็นตัวการก่อปัญหาก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 400,000 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกป่าในพื้นที่ขนาด 23,059 ไร่ ถือว่าเป็นโครงการที่ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากที่สุดในไทย

นอกจากนี้บริษัทยังสามารถนำโครงการนี้เข้าร่วมโครงการลดภาวะโลกร้อน เพื่อขายเป็นคาร์บอนเครดิต (ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่ สะอาด) ด้วย โดยอยู่ระหว่างเจรจาขายคาร์บอนเครดิตแก่องค์การสหประชาชาติ รวมถึงยังมีเอกชนไทยหลายราย อาทิ การบินไทย สนใจติดต่อซื้อคาร์บอนเครดิตของบริษัทเช่นกัน จึงอยากให้องค์กรอื่นของไทยหันมาตื่นตัวเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตมาก ขึ้น

การเริ่มต้นกับก้าวใหม่ของ “ไออาร์พีซี” ที่วางแผนสู่การปฏิรูปโรงไฟฟ้าของไทยครั้งใหม่ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นโรงไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงนั้น ถือเป็นการจุดกระแสตื่นตัวให้กับโรงไฟฟ้าขององค์กรรัฐที่จะหันมาทบทวนนโยบาย สร้างโรงไฟฟ้ากันใหม่อีกครั้ง…เพราะประเทศไทยยังสามารถสร้างไฟฟ้าแห่งใหม่ ขึ้นได้ หากมีแผนรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง!!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=310&contentID=123175

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น