วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ลมพลังงานสามารถจัดเก็บเป็นน้ำแข็ง

วิธีที่สมบูรณ์แบบของการจัดเก็บไฟฟ้าที่เกิดจากกังหันลมได้รับการหลบหลีกไปจนถึง. ไอเดียเช่น ซุปเปอร์ขนาดแบตเตอรี่, อัดอากาศและเก็บพลังน้ำ ได้ทุก floated. หนึ่งในบริษัทคิดว่าคำตอบอาจจะเป็นแบบง่ายๆเช่นการทำน้ำแข็ง.
Calmac ได้เกิดขึ้นกับระบบจัดเก็บข้อมูลที่เรียกว่า IceBank ที่ใช้พลังงานที่สร้างขึ้นที่เอาคืนสูงสุดเวลาชั่วโมงเพื่อให้น้ำแข็ง. นั่นน้ำแข็งเก็บไว้ใช้สำหรับการระบายความร้อนเพื่อความต้องการสูงในช่วงเวลา กลางวัน. บริษัทอ้างว่าความต้องการไฟฟ้าลดสำหรับเย็นสามารถลดค่าใช้จ่ายพลังงาน 20-40 เปอร์เซ็นต์. ลดยังหมายถึงการปล่อยให้น้อยลงจากโรงไฟฟ้านั่น.

นี้วิธีที่ดีสำหรับการควบคุมแรงลมที่อื่นอาจจะไปเสียในกลางคืนชั่วโมงเวลา. และจะต่ำสวยเทคโนโลยี - ต้องการลิเธียมหรือแร่หายากไม่มีแผ่นดิน - เพียง souped up ทำน้ำแข็ง.

ที่มา http://ecogeek.org/automobiles/3018-ok-residents-can-buy-an-electric-car-for-less-than?utm_source=feedburner&utm_medium=feed&utm_campaign=Feed%3A+EcoGeek+(EcoGeek)&utm_content=Twitter

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประหยัดพลังงานด้วยบ้านดิน

วันนี้ได้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มีเลือกเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานคือการสร้างบ้านด้วยบ้านดินรายละเอี่ยดในหนังสือพิมพ์
สมัยนี้การจะมีบ้านสักหลังต้องใช้ทุนสูงมาก “บ้านดิน” จึงกลายเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่มีเงินทุนไม่มาก แต่มีกำลังพอที่จะสร้างบ้านด้วยตัวเอง

พิชิต ชูมณี หรือ พี่เอ นวัตกรสังคมจากโครงการการศึกษาทุนทางสังคมเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยสถาบันพระปกเกล้า ภายใต้การสนับสนุนของ กฟผ. เป็นอีกหนึ่งคนที่ลงมือลงแรงปลูกบ้านดินขึ้นเอง และยังเปิดบ้านที่ ต.ปกาสัย อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ เป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสอนและถ่ายทอดวิธีการทำบ้านดินให้กับผู้สนใจอีกด้วย

ขั้นตอนที่ยากและใช้เวลานานที่สุดในการทำบ้านดิน คือการเตรียมอิฐ เริ่มจากการผสมดินกับใยปาล์มซึ่งเป็นเส้นใยที่ยาวและเหนียว ช่วยให้เกาะตัว ยึดประสานกับดินได้ดีกว่าแกลบ และยังทำให้บ้านคงทนกว่าด้วย

แต่ข้อเสียของการใช้ใยปาล์มก็คือจะไม่สามารถใช้เท้าย่ำได้ เพราะใยปาล์มจะมีความคม ถ้าเหยียบลงไปจะทำให้บาดเท้า สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย ซึ่งจะทำให้ผลิตได้ในปริมาณที่มากกว่า และยังช่วยให้อิฐแข็งแรงคงทนมากกว่าด้วย

หลังผสมดินกับใยปาล์มเสร็จเรียบร้อย ให้เอามาเทลงในบล็อก ขนาด 20x40x7.5 ซม. อิฐที่ได้แต่ละก้อนจะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 6 กิโลกรัม นำอิฐมาตากแดด 7 วันก็นำไปใช้งานได้ ส่วนขั้นตอนของการทำฐานรากให้ใช้ปูนกับคอนกรีตหล่อฐาน

การก่ออิฐดิน จะใช้อิฐประมาณ 40 ก้อน ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร เสร็จแล้วค่อยทำการเคลือบฉาบสี โดยการนำเอาดินมาบดให้ละเอียด (ถ้าต้องการสีแดงก็ให้ใช้ดินสีแดง ถ้าต้องการสีขาวก็ให้ใช้ดินขาว) มาผสมกับกาวลาเท็กซ์หรือแป้งมันสำปะหลัง

การเคลือบสีตามแนวธรรมชาติแบบนี้ จะทำให้ได้บ้านที่ดูแล้วสวยคลาสสิก ไม่แปลกปลอม กลมกลืนกับธรรมชาติ ดูมีเสน่ห์ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร

ข้อดีของบ้านดินก็คือ ต้นทุนในการก่อสร้างต่ำ แต่มีความแข็งแรง ทนต่อแรง กระแทกได้ดีกว่าบ้านปูน เพราะมีความยืดหยุ่นกว่า โดนค้อนทุบไม่แตกกระจาย โดนฝนก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และยังช่วยปรับสภาพอากาศได้อีกด้วย ถ้าอากาศภายนอกร้อน บ้านดินจะทำให้รู้สึกเย็น ถ้าอากาศภายนอกเย็น บ้านดินก็จะทำให้รู้สึกอบอุ่น นอกจากนี้วัตถุดิบยังสามารถหาได้จากธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น สามารถใช้วัสดุทดแทนจากใยปาล์มเป็นหญ้าแฝก หญ้าคา หรือแกลบก็ได้ ช่วยให้ทุกคนได้มีบ้านสวยอยู่ได้ในราคาไม่แพง

ปัญหาของบ้านดินมีน้อยมาก และสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก อาทิ หากมือไม่นิ่ง ไปคุ้ยแคะแกะเกาหรือเอาไม้เอาเหล็กไปขีดข่วน เอามีดไปกรีดผนังบ้าน จะก่อให้เกิดรอยถลอก ทำให้น้ำอาจซึมเข้าไปได้ วิธีแก้คือเคลือบทาสีใหม่ ทาพื้นผิวให้เรียบสนิท จนน้ำกลิ้งลงไป ไม่เกาะติดตามรอยแตก แต่ถ้าเจอกรณีที่มีรูเยอะ แก้ไขด้วยการเอาดินผสมใยปาล์มลงไป แล้วเอาสีทาเคลือบลงไปใหม่ ก็จะได้ความ แข็งแรงกลับคืนมา สิ่งที่ควรระวังอีกอย่าง คือฤดูฝนความชื้นเยอะ ถ้าเคลือบบ้านดินไม่ดีพอ อาจเกิดเชื้อราเกาะได้ แก้ไขได้ด้วยการ เอาผ้าเช็ดเชื้อราออก แล้วเคลือบสีใหม่ตรงที่มีราขึ้น

ข้อแนะนำสำหรับวิธีการบำรุงรักษาบ้านดินในพื้นที่ใกล้นาหรือแหล่งเพาะปลูก ที่มีหนูและปลวกอาศัยอยู่จำนวนมาก คือต้องดูแลหนูให้ดี หนูนาชอบบ้านดินเพราะอุณหภูมิเหมาะกับการที่หนูจะขุดรูชั้นล่างเพื่อเข้าไป อยู่ วิธีรับมือที่ดีคือ ช่วงตีคานให้อัดยาฆ่าปลวกลงไป และหมั่นตรวจสอบ ถ้าเราอยู่บ้านทุกวันไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าทิ้งบ้านนาน ๆ เป็นเดือน ปลวก หนูและแมงมุม มักจะชอบเข้ามาอยู่ บ้านดินก็เหมือนบ้านทั่วไปที่ต้องการได้รับการดูแลใส่ใจเฉกเช่นเดียวกัน

การก่อสร้างบ้านดินมีราคาต่ำกว่า การก่อสร้างด้วยปูนซีเมนต์ประมาณเกือบ 3 เท่า อย่างเช่นรีสอร์ทที่ ต.ปกาสัย ที่กำลังก่อสร้างอยู่ มีขนาดพื้นที่หลังละ 12 ตารางเมตร มีห้องน้ำในตัว ราคาก่อสร้างบ้านดินตกหลังละ 7 หมื่นบาท รวมค่าแรงก่อสร้างแล้ว แต่ถ้าเป็นบ้านปูนซีเมนต์ขนาดเท่ากัน จะต้องเสียค่าก่อสร้างประมาณ 2 แสนบาท

สำหรับบ้านตัวอย่างที่ศูนย์เรียนรู้ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง ก่อสร้างมาแล้ว นานกว่า 2 ปี พบว่าแข็งแรง ทนทาน รับน้ำหนักได้ดี ใช้กระเบื้องหนัก 2 ตัน (2,000 กก.) เหล็กใช้ถึง 2 ตัน รวมหลังคาบ้านดินหลังนี้มีน้ำหนักรวม 4 ตัน (4,000 กก.) จะเห็นได้ว่าบ้านดินสามารถรับน้ำหนักได้สบาย

บ้านหลังนี้มีขนาดความกว้าง 25 ตารางเมตร แต่ตัดมุมให้เป็นทรงแปดเหลี่ยม ใช้งบประมาณทั้งหมด 80,000 บาท เป็นค่าหลังคาที่ซื้อเหล็กและกระเบื้อง 60,000 บาท และใช้ต้นทุนในการก่ออิฐทั้งหมด 20,000 บาท

พิชิต กล่าวว่า “ความสำเร็จของการสร้างบ้านดินด้วยตนเอง เคล็ดลับอยู่ที่ความตั้งใจ บ้านดินเหมาะสำหรับพื้นดินที่แข็ง ไม่เหมาะกับพื้นที่มีน้ำเจิ่งนอง พื้นที่น้ำท่วมถึง พื้นที่ดินเหลวหรือดินอ่อน เพราะดินอาจจะพอง น้ำจะซึมได้ ถ้าเราสามารถทำบ้านดินขึ้นเองได้ จะทำให้เราได้คุณค่าชีวิตหลายอย่าง อาทิ เพิ่มพูนความรู้ เกิดความรู้สึกอยากศึกษา ค้นคว้า ทดลองทำในสิ่งใหม่ ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา และถ้าหากเราร่วมด้วยช่วยกันทั้งครอบครัว จะก่อให้เกิดสายใยรักและความผูกพันในครอบครัวที่ดี ทำให้เด็ก ๆ เกิดการเรียนรู้ พอทำไปเกิดปัญหา ก็จะหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ก่อให้เกิดทักษะ ฝึกสมอง และใจที่จดจ่อกับการก่ออิฐทีละก้อนทีละชั้น ทำให้เกิดสมาธิที่ดีต่อตัวเราอีกด้วย”.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=494&contentId=38126

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไอ มีฟ ( i-MiEV) เป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่ไม่สร้างมลพิษ




มิตซูบิชิ ไอ มีฟ ( i-MiEV) เป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่ไม่สร้างมลพิษโดยมีโครงสร้างพื้นฐานมาจากรถยนต์ “ไอ” ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 660 ซีซี โดยเป็นรถที่มาพร้อม ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยียนตรกรรมของมิตซูบิชิ ไม่ว่าจะเป็นความโดดเด่นของโครงสร้าง การวางเครื่องยนต์ไว้ตรงกลางด้านหลัง (rear-midship layout) รวมไปถึงแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน ความหนาแน่นสูง และมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง โดยมิตซูบิชิมีแผนจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ในปี 2552 นี้

ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จัดทดสอบรถยนต์ ไอ มีฟ ( i-MiEV) ร่วมกับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้ในเชิงพาณิชย์ได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้จัดทำแบบสำรวจตลาดและ โปรแกรมการทดสอบในประเทศต่างๆ นอกเหนือ จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อทดสอบความสามารถในการทำงานของเทคโนโลยี ดังกล่าวในตลาดต่างๆ โดยในยุโรป มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้อยู่ในระหว่างการปรึกษาหารือกับภาครัฐของไอซ์แลนด์จะเริ่ม การทดสอบ ร่วมกันภายในปีงบประมาณ 2552 ในอเมริกาเหนือ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส และบริษัทที่ดำเนินงานเกี่ยวกับพลังงาน (power company )
2 บริษัท ในแคลิฟอร์เนียมีแผนที่ จะเริ่มการทดสอบและเตรียมจัดกิจกรรมโปรโมทในระหว่างปีงบประมาณนี้ รวมทั้งในประเทศนิวซี แลนด์ซึ่งมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ร่วมกับบริษัท เมอริเดียน เอ็นเนอจี ( Meridian Energy ) ซึ่งเป็น รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานไฟฟ้า เตรียมจัดกิจกรรมเดินสายโปรโมทรถยนต์มิตซูบิชิ ไอมีฟ ในปีหน้า เพื่อประเมินความสนใจในตัวรถของคนในพื้นที่โดยตรง

นอกจากนี้ "มิตซูบิชิ คอนเซปต์ cX" ยังถึงพร้อมด้วยอรรถะประโยชน์เพื่อการใช้งานที่สมบูรณ์แบบจาก
ตำแหน่งของเบาะนั่งที่สูงขึ้นจะทำให้ผู้ขับขี่มีมุมมองที่กว้างขึ้น เพิ่มอารมณ์ในการขับขี่อย่างรถ SUV ด้วย
ความยาวตัวถัง 4,100 มม. พร้อมตัวถังแบบคอมแพคทำให้ง่ายต่อการใช้งานในเมือง รวมไปถึงการ
แยกส่วนฝาท้ายออกมาเป็น 2 ส่วนซึ่งเป็นสไตล์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในรถมิตซูบิชิรุ่นต่างๆ ช่วย
ให้ง่ายต่อการบรรทุกและขนสัมภาระ ในส่วนของสมรรถนะในการขับขี่นั้น "มิตซูบิชิ คอนเซปต์ cX" ขับเคลื่อน 4ล้อ ควบคุมด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์ พร้อมล้อและยางขนาด 225/45R19 ที่ตอบรับกับทุก
สภาพการขับขี่และให้ความแม่นยำในทุกสภาพถนน
ลงตัวด้วยโครงสร้างชั้นเยี่ยม

ไอ มีฟ ( i-MiEV) มีการติดตั้งระบบแบตเตอรี่ มอเตอร์ และ ส่วนประกอบต่างๆ ของระบบพลังงานไฟฟ้า เข้าไปแทนที่ตำแหน่งเครื่องยนต์และถังน้ำมัน ด้วยระยะฐานล้อที่กว้าง ( 2,550 มิลลิเมตร) ซึ่งเทียบเท่ากับรถยนต์นั่งขนาดใหญ่หลายคัน และยังให้ห้องโดยสารที่กว้างขวางเพียงพอสำหรับการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออนประสิทธิภาพสูงไว้ในส่วนล่างของตัวรถ ทั้งนี้จากโครงสร้างการวางเครื่องยนต์ไว้ตรงกลางด้านหลังทำให้สามารถติดตั้ง มอเตอร์ และอินเวอร์เตอร์ไว้ใต้ตำแหน่งเบาะนั่งด้านหลังซึ่งเป็นตำแหน่งของเครื่อง ยนต์และระบบขับเคลื่อนในรถยนต์มิตซูบิชิ ไอ ยิ่งไปว่านั้นจากเลย์เอาท์รูปแบบเฉพาะของมิตซูบิชิดังกล่าวยังทำให้มี พื้นที่ภายในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นโดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 4-ที่นั่งพร้อมพื้นที่ใส่ของด้านหลังของตัวรถ

สะดวกสบายด้วยการชาร์จไฟได้ทั้งจากตู้ชาร์จแบตเตอรี่และจากที่ชาร์จไฟในบ้าน
ไอมีฟยังสามารถชาร์จไฟได้ 3 รูปแบบ ทั้งจากตู้ชาร์จแบตเตอรี่ ที่ชาร์จไฟในบ้านประเภท 100 วัตต์ และที่ชาร์จไฟในบ้านประเภท 200 วัตต์ โดยในส่วนของตู้ชาร์จแบตเตอรี่นั้นยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาซึ่งเป็นการ ร่วมมือกันระหว่างมิตซูบิชิและ Tokyo Electric Power Company โดยตู้ชาร์จแบตเตอรี่สามารถชาร์จได้ถึง 80% ภายใน 30 นาทีเท่านั้น ในขณะที่การชาร์จด้วยไฟฟ้าภายในบ้านหากชาร์จด้วยไฟฟ้าขนาด 100 V/15 A จะใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมง และหากชาร์จด้วยไฟฟ้าขนาด 200 V/15A จะใช้เวลาเพียง 7 ชั่วโมงเท่านั้น

เลิกเผาฟางสร้างพลังงานทดแทน

แม้ปัจจุบันฟางข้าวจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ยหมักชีวภาพ แต่การเผาฟางเป็นทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด แม้ว่าเกษตรกรเองจะไม่อยากเผาฟางก็ตาม แต่ว่าผลกระทบที่ตามมานั้นไม่เพียงความร้อนที่เกิดจากการเผาจะทำลายธาตุ อาหารในดิน และได้ผลผลิตคุณภาพไม่ดีแล้ว การเผาฟางยังเป็นการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศอีกด้วย

น.ส.ไตรทิพย์ สุรเมธางกูร นักศึกษาปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลัง งานและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจุบันแนวทางหนึ่งในการจัดการฟางข้าวที่น่าสนใจ คือการนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนโดยการ สนับสนุนของภาครัฐในการใช้ชีวมวล เพื่อทดแทน พลังงาน จากฟอสซิล ซึ่งในหลายประเทศเริ่ม มีการใช้ฟาง ข้าวและฟางข้าวสาลีเป็นเชื้อเพลิงของ หม้อต้มไอน้ำในการผลิตความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้าพลังไอน้ำบ้างแล้ว เช่น ประเทศเดนมาร์ก อังกฤษ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น ขณะที่ประเทศไทยมีความพยายามในการนำฟางข้าวมาใช้ประโยชน์ในรูปพลังงานมากแต่ ยังประสบความสำเร็จไม่มากนัก เนื่องจากฟางข้าวเป็นชีวมวลที่มีค่าความร้อนต่ำ อีกทั้งยุ่งยากในการเก็บเกี่ยว และมีค่าขนส่งที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเศษวัสดุจากอุตสาหกรรมที่กำลังใช้ กันอยู่ เช่น แกลบ เศษไม้ เปลือกปาล์ม ส่งผลให้ฟางข้าวกว่า 50% ต้องถูกเผาทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้นเพื่อหาเทคโน โลยีที่นำฟางข้าวไปใช้อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเกิดประโยชน์ที่ได้ผลคุ้ม ค่าต่อการลงทุน อันจะช่วยหยุดสร้างมลพิษจากการเผาฟาง และได้แหล่งพลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น จึงได้ศึกษานโยบายเกี่ยวกับการนำฟางข้าวมาผลิตพลังงานในประเทศไทยด้วยการ ประเมินความเป็นไปได้ใน 4 ด้าน คือ 1. ศักยภาพของทรัพยากรที่สามารถนำออกมา ใช้ได้จริง 2.ความเหมาะสมของประเภท และขนาดของเทคโนโลยีกับศักยภาพของทรัพยากรที่มีอยู่ 3.ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งในแง่ของผู้ลงทุนและสังคมรวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ และ 4.สิ่งแวดล้อม โดยเสนอแนวทางของนโยบายที่ภาครัฐควรจะสนับสนุน

“ผลจากการประเมินพบว่า ฟางข้าวมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนได้ ด้วยการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงของหม้อต้มน้ำอุตสาหกรรมในโรงงานจะมีศักยภาพ มากกว่าการผลิต กระแสไฟฟ้า และเสนอให้รัฐสนับสนุนการใช้ฟางโดยการให้เงินสนับสนุนต่อปริมาณฟางที่ ใช้ 300-340 บาทต่อกิโลกรัม (แทนที่จะสนับสนุนต่อหน่วยกระแสไฟฟ้าที่ขายให้การไฟฟ้าฯ) เพื่อเปิดโอกาสให้นำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเงินสนับสนุนนี้คำนวณโดยคำนึงถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่ไม่ต้องจ่ายหากเรา หยุดเผาฟางได้”

สำหรับการนำไปใช้ก็สามารถทำได้ทันทีเพราะในภาคกลางยังมีโรงงานที่ใช้เชื้อ เพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมันเตา ถ่านหิน สำหรับหม้อต้มน้ำอุตสาหกรรมจำนวนมาก ซึ่งหากเป็นถ่านหินผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนมาใช้ฟางข้าวได้ทันที แต่ถ้าเป็นน้ำมันเตาก็เปลี่ยนเพียงหัวเตาเท่านั้น ในส่วนการประเมินความคุ้มทุนนั้นพบว่า ฟางข้าวจะต้องมีราคาต่ำกว่า 860 บาทต่อตัน ซึ่งวิธีการลดต้นทุนที่ทำได้เลยในขณะนี้คือ ให้เกษตรกรเก็บฟางข้าวเป็นก้อนสี่เหลี่ยมไว้ข้างนา โดยอัดให้แน่น (ประมาณ 18-20 กก.ต่อฟ่อน) ด้วยเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ กันแพร่หลายอยู่แล้ว จากนั้นผู้ประกอบการส่งรถพ่วง 2 ตอนมารับซื้อจากนาโดยตรง และเตรียมความพร้อมของฟางก่อนป้อนเข้าเตาเผาด้วยการสับให้ชิ้นเล็กลง ส่วนในอนาคตเสนอให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกษตรกรเก็บฟางข้าวให้อยู่ ในรูปแบบของเชื้อเพลิงอัดแท่งได้ทันทีที่ทุ่งนา เพื่อให้บรรทุกได้ในปริมาณมากขึ้นในพื้นที่เท่ากัน ซึ่งนอกจากจะลดจำนวนเที่ยวและประหยัดค่าการขนส่งแล้วยังนำไปใช้เป็นเชื้อ เพลิงได้ทันทีโดยไม่ต้องสับ แต่ทั้งนี้ยัง ต้องอาศัยการผลักดันจากภาครัฐในการพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่อไป

การใช้ฟางเป็นเชื้อเพลิงทดแทน เชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากจะช่วยให้หยุดมลพิษทางอากาศแล้ว ยังได้ “พลังงาน” และ “ลดโลกร้อน” ได้อีกด้วย.


ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=339&contentID=37158

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรือหางกุด นวัตกรรมตามแนวพระราชดำริ

# เรือหางกุด นวัตกรรมตามแนวพระราชดำริ แล่นด้วยแรงดันน้ำ หมดปัญหาสวะติดใบพัด

เรือหางยาว เป็นพาหนะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองไทย แต่ข้อจำกัดของเรือหางยาวที่ต้องอาศัยเพลาถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังใบพัดเรือ ทำให้สูญเสียกำลังบางส่วน และขับเคลื่อนไม่คล่องตัว ต้องออกแรงในการบังคับเลี้ยวมาก ไม่ปลอดภัย และปัญหาการพันติดของกอสวะที่ใบพัดที่ติดอยู่ที่หาง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชดำริและพระราชอุปถัมภ์การวิจัยคิดค้น เครื่องเรือหางกุด

นายจารุวัฒน์ มงคลธนทรรศ วิศวกรการเกษตร 8 จากสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หัวหน้าโครงการสร้างและพัฒนาต้นแบบเครื่องเรือหางกุด ตามแนวพระราชดำริ กล่าวถึงโครงการว่า ได้สร้างต้นแบบเครื่องเรือหางกุดขึ้นจากความทรงจำเบื้องต้นของนายสวงศ์ พวงมาลี ซึ่งเป็นผู้สร้างเครื่องยนต์ หางกุด ภายใต้การออกแบบและควบคุมของ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองวิศวกรรม กรมการข้าว กระทรวงเกษตร ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสบผลสำเร็จเมื่อปี พ.ศ.2509 ทว่าเนื่องจากทางกองวิศวกรรมมีภารกิจอื่นที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือทำฝนเทียม ทำให้การพัฒนาเครื่องยนต์ หางกุด นี้ยุติลง มิได้เผยแพร่สู่สาธารณะ

ในเดือน เมษายน 2545 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้มูลนิธิโครงการหลวงดำเนินการรื้อฟื้นการพัฒนาเครื่องยนต์หางกุดอีกครั้ง ทางมูลนิธิจึงได้ติดต่อประสานงานให้สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมดำเนินการสร้างต้นแบบดั้งเดิมขึ้นมา

เครื่องยนต์เรือหางกุดนี้ นายจารุวัฒน์ กล่าวว่า เป็นเครื่องยนต์ที่แก้ปัญหาเครื่องยนต์เรือหางยาว โดยการตัดหางยาวทิ้ง จึงเป็นที่มาของชื่อ เครื่องยนต์ หางกุด และเครื่องยนต์จะส่งกำลังไปหมุนใบพัดโดยตรง ไม่ต้องผ่านเพลา ทำให้ในทางทฤษฎีจะไม่มีการสูญเสียกำลังของเครื่องยนต์ไป อีกทั้งในการขับเคลื่อนจะปลอดภัยกว่าเรือหางยาว สามารถขับไปในที่ที่ตื้นเขินและมีเศษสวะได้ดี สามารถเลี้ยวโค้งได้ในวงแคบและกลับลำได้โดยหมุนเรือรอบตัวเอง และยังสามารถถอยหลังหรือหยุดเรือได้โดยกะทันหันโดยการเปลี่ยนทิศทางของน้ำ จึงสามารถใช้ขับเคลื่อนในคลองคดเคี้ยวได้สะดวกและคล่องแคล่วมากกว่าเรือหางยาวในปัจจุบัน

ตัวแบบของเครื่องยนต์ วิศวกรการเกษตร 8 จากสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม เล่าว่า เครื่องยนต์ทั่วไปเพลาจะอยู่ในแนวราบ สำหรับเครื่องยนต์หางกุดเพลาต้องอยู่ในแนวดิ่ง เครื่องเรือนี้ออกแบบโดยอาศัยหลักการขับดันของน้ำ โดยดูดน้ำจากด้านล่างขึ้นมาตรงๆ และขับดันน้ำออกสูงกว่าระดับท้องเรือ ต่างจากเครื่องของเรือหางยาวที่ไม่ได้สูบน้ำขึ้นมา แต่จะขับเคลื่อนเรือโดยอาศัยใบพัดขับน้ำออกไป ทำให้เครื่องยนต์ของเรือหางกุดสามารถปรับเปลี่ยนไปใช้สำหรับบำบัดน้ำเสีย หรือใช้สำหรับสูบน้ำได้อีกด้วย

ขณะนี้เครื่องยนต์หางกุดดัดแปลงใช้ได้เฉพาะกับเครื่องยนต์ 2 จังหวะ ขนาด 4 แรงม้าและ 6 แรงม้า แต่ปัจจุบันหาซื้อเครื่องสองจังหวะได้ยาก เพราะรถจักรยานยนต์หรือในเรือจะเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะเสียเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งเครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะต้องเติมน้ำมันเบนซินและน้ำมันหล่อลื่นแบบผสมรวมกัน ทำให้มีการเผาไหม้น้ำมันหล่อลื่นไปด้วย ผลที่ได้คือจะมีควันดำและมีผลต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งในงานวิจัยขั้นต่อไปคือการนำเครื่องยนต์ 4 จังหวะมาปรับใช้ ซึ่งต้องขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยก่อนดำเนินการต่อไป นายจารุวัฒน์ กล่าว

ในด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ นายจารุวัฒน์ เล่าว่า เมื่อใช้ในการขับเคลื่อนเรือไฟเบอร์กลาสท้ายตัดขนาดความยาว 8 และ 10.5 ฟุต สำหรับเครื่องยนต์ 4 แรงม้าและ 6 แรงม้าตามลำดับ จะได้ความเร็วสูงสุดที่ประมาณ 6 และ 7.5 กิโลเมตรตามลำดับ ซึ่งหากมองในแง่ของการใช้งานด้านเกษตรกรรมจะมีความเหมาะสม คือ อาจนำไปใช้ในการขับเคลื่อนเพื่อการเกษตร หรือนำไปใช้สูบน้ำเพื่อการเกษตรก็ได้

สำหรับเครื่องเรือหางกุดนี้ สามารถนำมาใช้ได้กับเรือเกือบทุกชนิด หากมิใช่เรือที่เป็นแบบท้ายตัดก็สามารถดัดแปลงติดเครื่องยนต์ที่ด้านข้างของเรือได้ และเพื่อให้มีศักยภาพดีขึ้น ทางสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมเปิดเผยว่าจะมีการศึกษาเรื่องการเติมอากาศขณะขับเคลื่อนเรือเพื่อเป็นการบำบัดน้ำเสีย แต่ต้องขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยก่อนดำเนินการต่อไป

ที่มา http://www.ist.cmu.ac.th/riseat/archives/Feb_04/News/17020401.html

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เน็ตบุ๊คพลังแสงอาทิตย์

iUnika Gyy เน็ตบุ๊กสัญชาติสเปน เปิดตัวพร้อมคุณสมบัติที่เล็ก กะทัดรัด และมีน้ำหนักไม่ถึง1กิโลกรัม แถมเกาะกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยโครงสร้าง ผลิตจาก bioplastics ซึ่งเป็นอินทรีย์วัตถุ สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ และมีคุณสมบัติสุดแหล่มอีกประการคือ สามารถชาร์จประจุแบตเตอรี่ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์จากฝาหน้าที่ติดตั้งเซลล์ แสงอาทิตย์ได้อีกด้วย

รายละเอียดทาง เทคนิคเปิดเผยว่าใช้ processor ความเร็ว 400MHz, แรมขนาด128MB , ความจุ 64GB แบบ ssd/flash memoryระบบปฎิบัติการ Linux มีขนาดหน้าจอ 8 นิ้ว ที่ความละเอียดเพียง 800 x 400 pixels. ซึ่งถูกออกแบบสเปคมาค่อนข้างจุ๋มจิ๋มก็เพื่อให้ประหยัดพลังงานมากที่สุดนั้น เอง ส่วนสนนราคาคือ 160ยูโร ($220) หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7พันกว่าบาท ครับ

เป็นที่น่าเสียดายว่า การชาร์จประจุแบตเตอรี่ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นี้จะสามารถทำได้สูงสุดไม่เกิน 4 วัตต์ แต่แค่นี้ก็คงพอมีเวลาให้เราเก็บเครื่องทันโดยไม่ดับไปเสียก่อน อีกทั้งหากคิดจะเปิดใช้งานจิบกาแฟกลางแจ้งแบบเมืองนอกเพื่อรับแสง ถ้าเป็นบ้านเรา ที่อุณหภูมิแวดล้อม 30กว่าองศาเซลเซียส มีหวังใช้ไปแฮงค์ไปเป็นแน่แท้ แต่ก็ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น บนแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทนใหม่ๆมาประยุกต์ใช้ได้แจ่มแจ๋วเลยทีเดียว

ทีมา http://energybase.net/Solar-Netbook.html

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รถพลังงานไฟฟ้าทำเองของฝรั่ง

0-100 แค่ 3 วิ เอาไปแข่ง drag ได้สบายๆ
http://www.youtube.com/watch?v=369h-SEBXd8